สมุนไพรไทยรักษาโรคเบาหวาน
ตำลึง
ตำลึง ว่าด้วยการกินผักนั้น ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ ตำลึงที่ว่าดีนั้นก็เพราะทั้งปลูกง่ายแลให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย ตอนนี้ใครต่อใครเขาก็นิยมเบต้า-แคโรทีสามารถ ป้องกันมะเร็งกัน ตำลึงของเราก็มีสารตัวนี้แบบไม่น้อยหน้าใคร แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดเร่งการหายของแผล ช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวาน เคยเห็นใครบางคนกินตำลึง แต่เด็ดเอาหนวดงอๆ ของ ตำลึงทิ้งเสีย เพราะเห็นเป็นอะไรที่ไม่สวย ไม่น่ากิน ดูรุงรังจนคนเขียนเคยเข้าใจว่าส่วนนั้นกินไม่ได้ แต่ขอเตือนท่านทั้งหลายที่ชอบทำแบบนี้ว่าอย่าทำเลย เพราะจะเมื่อยมือไปเสียเฉยๆ ทั้งเถาที่ยังอ่อนของตำลึงนั้นกินได้หมด ไม่เว้นแม้แต่หนวดดังกล่าว เห็นไหม ตำลึงนั้นน่ารัก น่ากินเพียงใด หาง่าย ราคาย่อมเยา แต่คุณค่ามหาศาลจริง ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้,สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548. 120
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้,สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548. 120
มะระขี้นก
เคยมีคนถามว่า คุณยายกินอะไรถึงอายุยืน ไม่ค่อยเจ็บป่วย หรือถึงเจ็บป่วยก็หายเร็ว "ยาย" ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้ ๆ ชอบผักที่ขมๆ เพราะถือคำที่บอกว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ก็คือมะระขี้นกนั้น จัดว่าเป็นสมุนไพรที่ช่วยป้องกันและรักษาได้หลายโรค โดยเฉพาะโรคเบาหวาน มะระขี้นกเป็นพืชในเขตร้อน เป็นไม้เถาเลื้อย ผลมีขนาดเล็กกว่ามะระธรรมดาทั่วไป ผิวขรุขระ สีเขียวเข้ม และมีรสข้มจัด มีรายงานการวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของมะระขึ้นก พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี โดยสามารถออกฤทธิ์ในการลดน้ำตาลได้ภายใน 30 - 60 นาทีหลังกิน และจะออกฤทธิ์สูงสุดหลังจากกินไปแล้ว 4 - 12 ชม. เนื่องจากมะระขี้นกจะกระตุ้นการเปลี่ยนกลูโคสในกระแสเลือด ให้เป็นไกลโคเจนที่ตับ และยังกระตุ้นการหลังอินซูลินจากเบตาเซลล์ของตับอ่อน อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างเบตาเซลล์อีกด้วย
สำหรับการแพทย์แผนไทย ประโยชน์ของมะระขี้นก นอกเหนือจากการรักษาโรคเบาหวานแล้ว ยังช่วยรักษาโรคอื่น ๆ ได้อีก เช่น ใช้เป็นยากระตุ้นการเจริญอาหาร บำรุงธาตุ ช่วยฝาดสมาน แก้บิด ริดสีดวงทวาร ช่วยขับลม บำรูงธาตุเป็นยาระบาย แก้โรคลมเข้า ข้อเข่าบวม แก้โรคม้ามและพยาธิ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยเส้นใยฟอสฟอรัส ไนอาชิน และวิตามินเอ ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงตา กระดูก ฟัน ผิว ผม และเนื้อเยื่ออ่อนที่สำคัญ ยังมีรายงานการวิจัยจากต่างประเทศหลายฉบับที่ยืนยันว่า สารสกัดจากผลมะระขี้นกสามารถยับยั้งการเจริญ และการขยายตัวของเชื้อเอชไอวีในหลอดทดลองได้ผลดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้,สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548,120
สำหรับการแพทย์แผนไทย ประโยชน์ของมะระขี้นก นอกเหนือจากการรักษาโรคเบาหวานแล้ว ยังช่วยรักษาโรคอื่น ๆ ได้อีก เช่น ใช้เป็นยากระตุ้นการเจริญอาหาร บำรุงธาตุ ช่วยฝาดสมาน แก้บิด ริดสีดวงทวาร ช่วยขับลม บำรูงธาตุเป็นยาระบาย แก้โรคลมเข้า ข้อเข่าบวม แก้โรคม้ามและพยาธิ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยเส้นใยฟอสฟอรัส ไนอาชิน และวิตามินเอ ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงตา กระดูก ฟัน ผิว ผม และเนื้อเยื่ออ่อนที่สำคัญ ยังมีรายงานการวิจัยจากต่างประเทศหลายฉบับที่ยืนยันว่า สารสกัดจากผลมะระขี้นกสามารถยับยั้งการเจริญ และการขยายตัวของเชื้อเอชไอวีในหลอดทดลองได้ผลดี
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้,สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548,120
ว่านหางจระเข้
เราทราบกันดีว่าว่านหางจระเข้นั้นมีสรรพคุณมากมายหลายอย่างไม่ว่าจะใช้สวนใดของว่านหางจระเข้ก็ใช้ได้แล้วมีปรโยชน์ทั้งนั้น ว่านหางจระเข้นั้น จัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย สามารถใช้บรรเทาโรคทั้งภายนอกและภายในร่างกาย อีกทั้งยังใช้บำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย
ประโยชน์ภายนอก
1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย
2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป 3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโมจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน
4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้ CIKE
ประโยชน์ภายใน
1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
3. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ประโยชน์ภายนอก
1.รักษาแผลไฟไหม้และน้ำร้อนลวก โดยปอกเปลือกนอก นำวุ้นสดภายในใบไปล้างยางออกให้สะอาด แล้วนำไปประคบแผลตลอด 2 วันแรก จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน สมานแผลให้เร็วขึ้น และไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นอีกด้วย
2.ป้องกันและบรรเทารอยไหม้จากการออกแดด นำใบสด ๆ ของว่านหางจระเข้ผสมกับโลชั่นทาลงบนผิวหนังก่อนออกแดด จะช่วยป้องกันแสงแดดได้ แต่ถ้าหากเกิดรอยไหม้ขึ้นบนผิวหนังหลังออกแดดแล้ว ให้ใช้วุ้นที่ล้างสะอาดมาทาเพื่อลดอาการอักเสบ ถ้าจะให้ดีลองผสมกับน้ำมันพืช หรือ น้ำมันมะกอก เพื่อลดอาการผิวแห้งตึงจนเกินไป 3.บรรเทารอยไหม้จากการฉายรังสีของผู้ป่วย โดยใช้วิธีการนำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างสะอาดมาประคบที่รอยไหม้จากการทำคีโมจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน
4.สมานแผลจากของมีคมและแผลถลอก หากได้รับบาดเจ็บจากของมีคม ใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ที่ยังมีเมือกอยู่ แปะลงไปบนแผล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสมานแผลให้เร็วขึ้นได้ CIKE
ประโยชน์ภายใน
1.บรรเทาอาการปวดข้อ นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วไปแช่ตู้เย็น และรับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเนื้อวุ้น และน้ำวุ้น หากอยากให้รับประทานง่ายขึ้น สามารถนำไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ ก็ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
2. ใช้เป็นยาถ่าย โดยเลือกตัดว่านหางจระเข้พันธุ์เฉพาะที่ใบใหญ่และมีน้ำยางสีเหลืองในปริมาณมาก อายุประมาณ 9 เดือนขึ้นไป รองน้ำยางที่ไหลออกมาจากใบ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น เทลงในพิมพ์ขนาดเล็กให้แข็งเป็นก้อนรับประทานเป็นยาได้ ซึ่งเม็ดยาจะมีสีแดงอมน้ำตาลไปจนถึงดำ เรียกว่า ยาดำ แบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 0.25 กรัม (250 มิลลิกรัม) จะเป็นขนาดที่เหมาะสมในการใช้เป็นยาถ่าย หากต้องการรับประทานแบบสด ๆ ก็สามารถทำได้ โดยการตัดวุ้นที่ล้างสะอาดแล้วออกเป็นขนาด 3-4 เซ็นติเมตร แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
3. ป้องกันโรคเบาหวาน ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงสำหรับผู้ที่เป็นในระยะแรก ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเพื่อป้องกัน สามารถรับประทานในปริมาณที่น้อยลงได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
กะเพรา
กะเพาะหลายๆคนอาจจะรู้จักเป็นอบ่างดี เนื่องจากเรานิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของ อาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณณุ้หรือไม่กระเพราะนั้น มีสรรพคุณทางยาในหลายๆ ด้าน หลายคนอาจจะไม่ชอบรับประทานกระเพรา เพราะมันเผ็ด เป็นต้น แต่แท้จริงแล้วกะเพรานั้นมีประโยชน์มากกว่าที่ท่านคิด กะเพรา มีสรรพคุณเป็นยา แก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ ทำให้โล่งจมูก น้ำต้มใบกะเพรา
1.ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด
2. ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล
3. มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจ ช่วยลดการเกิดลิพิดเพอร์ออกซิเดชั่น การตายของกล้ามเนื้อหัวใจ
4. ช่วยลดการหลั่งกรด และป้งกันการถูกทำลายของเย่อยบุกระเพาอาหารได้
5. ช่วยลดการบีบตัวขอลำไส้ ปวดท้อง....
6.ช่วยขับลมในกระเพาะ....
7. ช่วยลดการอักเสบ มีผลเทียบเท่า ยาแอสไพริน
8. มีฤทธิปกป้องตับ เนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท
9. มีฤทธิ์ช่วยลดนำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะ
10.มีฤทธิต้านเชื้อสิว ตานการเติบโตของเชื้อสิวซึ่งจะสามรถนำไปพัฒนาเป็นสารรักษาสิวต่อไป
11. น้ำกะเพราะแก้โรคกรดไหลย้อน กลับ
1.ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด
2. ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล
3. มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจ ช่วยลดการเกิดลิพิดเพอร์ออกซิเดชั่น การตายของกล้ามเนื้อหัวใจ
4. ช่วยลดการหลั่งกรด และป้งกันการถูกทำลายของเย่อยบุกระเพาอาหารได้
5. ช่วยลดการบีบตัวขอลำไส้ ปวดท้อง....
6.ช่วยขับลมในกระเพาะ....
7. ช่วยลดการอักเสบ มีผลเทียบเท่า ยาแอสไพริน
8. มีฤทธิปกป้องตับ เนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท
9. มีฤทธิ์ช่วยลดนำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะ
10.มีฤทธิต้านเชื้อสิว ตานการเติบโตของเชื้อสิวซึ่งจะสามรถนำไปพัฒนาเป็นสารรักษาสิวต่อไป
11. น้ำกะเพราะแก้โรคกรดไหลย้อน กลับ
หม่อน
หม่อน เรามักจะเคยได้ยินกันคือ ชาใบหม่อน แต่เมื่อมีการนำหม่อนมาทดลองในหลอดทดลองแล้ว พบว่าสารสกัดหรือสารสำคัญของหม่อนมีฤทธิ์ทางยาหลายประการ อาทิ
ใบ มีสารจำพวกฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตียรอล ไตรเทอร์ปีน แอลคาลอยด์ เซราไมด์ และน้ำมันหอมระเหย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต เพคติน โปรตีน เส้นใยอาหาร รวมทั้งไวตามินบี ซี และแคโรทีนด้วย
ราก และเปลือกราก มีสารแอลคาลอยด์ คูมารินส์ เทอร์ปีน สติลปีน ฟลาโวนอยด์ เบนซินอยด์
กิ่งอ่อน มีสารมอริน มัลเบอริน (mulberrin มัลเบอโรโครมีน
ผล มีน้ำมันหอมระเหย ฟลาโวนอยด์ น้ำตาลและไวตามินซี
สรรพคุณด้านการรักษา
1. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอินสระ น้ำคั้นและสารสกัดจากใบมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีสารสำคัญที่ยับยั้ง oxidation ของ LDL ได้
2. ฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานิน (melanin) สาร 2-oxyresveratrol จากกิ่งหม่อน และสาร mulberroside F จากใบและสารสกัดจากเปลือกราก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเกี่ยวข้องในขบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง จึงมีการนำสารสกัดรากหม่อนมาใช้เป็น whitening agent ในเครื่องสำอาง
3. ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดด้วยน้ำและสาร 2-O- ? -D-galactopyranosyl-1-deoxynojirimycin (GAL-DNJ) จากใบหม่อน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในสัตว์ทดลองที่เป็นเบาหวาน และสาร 1-deoxynojirimycin ,ฤทธิ์แรงในการยับยั้งเอนไซม์ ?-glucosidase ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงช่วยยับยั้งการย่อยแป้งในอาหารช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ใบหม่อนมีศักยภาพในการนำมาใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หรือใช้ควบคุมน้ำหนัก
4. ฤทธิ์ลดความดันโลหิต สารสกัดเอธานอลจากใบและบิวทานอลจากเปลือกราก มีสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต
ในหนู
ใบ มีสารจำพวกฟลาโวนอยด์ ไฟโตสเตียรอล ไตรเทอร์ปีน แอลคาลอยด์ เซราไมด์ และน้ำมันหอมระเหย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต เพคติน โปรตีน เส้นใยอาหาร รวมทั้งไวตามินบี ซี และแคโรทีนด้วย
ราก และเปลือกราก มีสารแอลคาลอยด์ คูมารินส์ เทอร์ปีน สติลปีน ฟลาโวนอยด์ เบนซินอยด์
กิ่งอ่อน มีสารมอริน มัลเบอริน (mulberrin มัลเบอโรโครมีน
ผล มีน้ำมันหอมระเหย ฟลาโวนอยด์ น้ำตาลและไวตามินซี
สรรพคุณด้านการรักษา
1. ฤทธิ์ต้านอนุมูลอินสระ น้ำคั้นและสารสกัดจากใบมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีสารสำคัญที่ยับยั้ง oxidation ของ LDL ได้
2. ฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานิน (melanin) สาร 2-oxyresveratrol จากกิ่งหม่อน และสาร mulberroside F จากใบและสารสกัดจากเปลือกราก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเกี่ยวข้องในขบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง จึงมีการนำสารสกัดรากหม่อนมาใช้เป็น whitening agent ในเครื่องสำอาง
3. ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สารสกัดด้วยน้ำและสาร 2-O- ? -D-galactopyranosyl-1-deoxynojirimycin (GAL-DNJ) จากใบหม่อน มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในสัตว์ทดลองที่เป็นเบาหวาน และสาร 1-deoxynojirimycin ,ฤทธิ์แรงในการยับยั้งเอนไซม์ ?-glucosidase ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จึงช่วยยับยั้งการย่อยแป้งในอาหารช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ใบหม่อนมีศักยภาพในการนำมาใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หรือใช้ควบคุมน้ำหนัก
4. ฤทธิ์ลดความดันโลหิต สารสกัดเอธานอลจากใบและบิวทานอลจากเปลือกราก มีสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต
ในหนู
บัวบก
ใบบัวบกได้ถูกนำมาใช้บำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือจนได้ชื่อเรียกว่า 'อาหารสมอง' เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง และได้ผลดีทั้งในแง่ของการรักษาส่วนของสมองที่ถูกทำลายแล้วให้ดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สมองที่เป็นปกติอยู่ถูกทำลายหรือเสื่อมลง นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการลดความเครียดจากการทำงานหนัก ปรับปรุงระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ (Reflex Reaction) หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวเรา เพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ หรือช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย
ปัจจุบันใบบัวบก (Goto Kola) ถือว่าเป็นสมุนไพรยอดนิยมของชาวตะวันตก ในเรื่องของประสิทธิภาพการผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความทรงจำได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก ทำให้เราค้นพบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วงเร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น
ปัจจุบันใบบัวบก (Goto Kola) ถือว่าเป็นสมุนไพรยอดนิยมของชาวตะวันตก ในเรื่องของประสิทธิภาพการผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของความทรงจำได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก ทำให้เราค้นพบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วงเร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น
กระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบคนส่วนใหญ่อาจรู้จัก กระเจี๊ยบแดงมากกว่า เนื่องจาก นิยมรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงมากในปัจจุบัน แต่กระเจี๊ยบที่เราน้ำมาวันนี้คือ กระเจียบมอญ กระเจี๊ยบมอญนั้นสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ โดยการต้มแล้วจิ้มกับน้ำพริก และยังมีสรรพคุณทางยามากมาย สาร mucilage และ peetin ในผลอ่อน จะเป็นส่วนสำคัญที่ลดน้ำตาลในเลือด โดยสารเมือก ( mucilage ) จะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ผ่านผนังลำไส้ ดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ช้าลง ทำให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
เตยหอม
เตยหอม หรือใบเตยที่เรารู้จักและใช้เรียกกัน เตยหอมเป็นพืชที่มีประโยชน์มากและสามารถนำไปทำอะไรได้หลายอย่าง อาหาร หรือไปผสมกับน้ำกะทิให้มีกินหอม น้ำมาพับเป็นดอกกุหลาบนำไปดับกลิ่นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว นิยมนำมาผสมกับขนม โดยการคั้นให้เป็นน้ำเสียก่อน หรือนำมาผสมหับแป้งของขนม หรือแม้แต่การมาทำเป็นเครื่องดื่ม แต่เตยหอมนั้นมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่เราคิดเสียอีก เราอาจจะเห็นว่าเตยหอมเป็นแค่พืชผักธรรมดาที่ โต่เร็ว แต่จริงๆแล้วมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว เรามารู้ประโยชน์และสรรพคุณทางยา ของเตยหอมกันเถอะ ใช้ผสมอาหาร ทำอาหาร ดับกลิ่น แก้โรคเบาหวาน ใช้บำรุงหัวใจ กลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ดื่มทำให้ชุ่มคอ ใบตำพอกโรคผิวหนัง ต้นและรากขับปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ ดับพิษไข้ ชูกำลัง
ใบ ใบเตยประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย และมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ ซึ่งในน้ำมันหอมระเหยประกอบไปด้วยสารหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl acetate) เบนซิลอะซีเตท (Benzyl acetate) ไลนาโลออท (Linalool) และเจอรานิออล (Geraniol) และสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมคือคูมาริน (Coumarin) และเอทิลวานิลลิน (Ethyl vanillin)
ในตำราแผนโบราณกล่าวไว้ว่า ใบเตยใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ ซึ่งเมื่อเรารับประทานน้ำใบเตยจะรู้สึกชื่นใจและชุ่มคอ โดยใช้ใบเตยสดล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อยคั้นเอาแต่น้ำดื่ม เติมน้ำตาลเล้กน้อยก็ได้
ราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการทำศึกษาวิจัย โดยนำน้ำต้มรากเตยหอมไปทดลองในสัตว์ทดลองเพื่อดูฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ปรากฏว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้ สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มรับประทานเองได้ โดยนำใบเตยหอมมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้งนำไปชงกับน้ำร้อนดื่มได้ตลอดเวลา หรือจะนำใบเตยที่หั่นเรียบร้อยแล้วไปคั่วในกระทะโดยใช้ไฟอ่อน ๆ จนแห้งดีแล้วจึงเก็บในภาชนะที่ปิดให้สนิท เมื่อจะรับประทานก็นำมาชงกับน้ำร้อนดื่ม
ใบ ใบเตยประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย และมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์ ซึ่งในน้ำมันหอมระเหยประกอบไปด้วยสารหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl acetate) เบนซิลอะซีเตท (Benzyl acetate) ไลนาโลออท (Linalool) และเจอรานิออล (Geraniol) และสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมคือคูมาริน (Coumarin) และเอทิลวานิลลิน (Ethyl vanillin)
ในตำราแผนโบราณกล่าวไว้ว่า ใบเตยใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยลดอาการกระหายน้ำ ซึ่งเมื่อเรารับประทานน้ำใบเตยจะรู้สึกชื่นใจและชุ่มคอ โดยใช้ใบเตยสดล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำเล็กน้อยคั้นเอาแต่น้ำดื่ม เติมน้ำตาลเล้กน้อยก็ได้
ราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ และรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการทำศึกษาวิจัย โดยนำน้ำต้มรากเตยหอมไปทดลองในสัตว์ทดลองเพื่อดูฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ปรากฏว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้ สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มรับประทานเองได้ โดยนำใบเตยหอมมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้งนำไปชงกับน้ำร้อนดื่มได้ตลอดเวลา หรือจะนำใบเตยที่หั่นเรียบร้อยแล้วไปคั่วในกระทะโดยใช้ไฟอ่อน ๆ จนแห้งดีแล้วจึงเก็บในภาชนะที่ปิดให้สนิท เมื่อจะรับประทานก็นำมาชงกับน้ำร้อนดื่ม
กระถิน
กระถินเป็นผักริมรั้วบ้านที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะปลูกง่าย ทนความแล้งได้ดี แถมดอกยังมีกลิ่นหอมอบอวลอีกด้วย คุณแม่บ้านมักชอบเก็บมาปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำยอดกระถินหรือนำไปลวกหรือกินสดจิ้มกับน้ำพริกก็ให้รสชาติดีไม่แพ้กัน ที่สำคัญคุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ทั้งดอก ใบ และรากของกระถินนั้นล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณเป็นยาช่วยรักษาโรคได้ทั้งสิ้น เราสามารถนำยอดอ่อน ใบอ่อน ฝักอ่อน และเมล็ดอ่อน มากินเป็นผักสดกับน้ำพริกส้มตำ ขนมจีน แกงที่มีรสจัด และกินคู่กับหอยนางรมสด ทำให้เนื้อหอยมีรสชาติหวานยิ่งขึ้น โดยใบกระถินมีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงสายตา ดอกบำรุงตับ รากขับลมขับระดูขาว เป็นยาอายุวัฒนะ เมล็ดใช้ถ่ายพยาธิตัวกลม ใบและเมล็ดแก้โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แก้ท้องร่วง และฝักใช้เป็นยาฝาด
เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมเลือกรับประทานผักกระถินเพิ่มอีกชนิดหนึ่งเพื่อสุขภาพที่ดี หรือใครจะปลูกไว้รับประทานเองก็ได้ เพราะเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่ายทนแดดทนฝนได้ดีค่ะ
เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมเลือกรับประทานผักกระถินเพิ่มอีกชนิดหนึ่งเพื่อสุขภาพที่ดี หรือใครจะปลูกไว้รับประทานเองก็ได้ เพราะเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่ายทนแดดทนฝนได้ดีค่ะ
ข้าว
ข้าวพืชมหัศจรรย์ของมวลหมู่มนุษย์ทั้งหลาย นั้นเองข้าวก็ยังเป็นอาหารหลักที่ต้องทานกันทุกวันวันละ 3 มื้อ คนทั้งหลายก็ต้องบริโภคข้าวไปตลอดนั้นเองแล้ว ข่าวนี่แหละก็เป็นพืชสมุนไพรอย่างหนึ่ง ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ไม่เชื่อก็ต้องชื่อ เพราะเป็นเรื่องจริง การที่เราทานข้าวไปทุกวันก็เหมือนกัยได้ทานสมุนไพรทุกวัน เช่นกัน
กินข้าวเป็นยากันทั้งโลก แต่ในที่นี้เอาส่วนหนึ่งของต้นข้าวมาปรุงเป็นยาดีลดน้ำตาลในเลือดหรือเอามารักษาโรคเบาหวาน ส่วนที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดก็คือ รากของต้นข้าวนั้งเอง เอารากของต้นข้าวมาทำยาลดเบาหวาน ไม่ใช่ทานข้าวทุกวันเพื่อช่วยลดเบาหวาน คือการนำรากมาต้มเอาน้ำ มาดื่มกันเป็นยาดีที่รักษาโรคเบาหวาน ดื่ม ตอนเย็น หรทอดืมทุกวัน อาการของโรคเบาหวานก็จะหายวันหายคืน ทุเลาลงจนน่าพอใจ
ในการทดสอบสรรพคุณทางสมุนไพรนี้ปรากฎ ไฮคิโนเอช. กับคณะมีรายงานว่าที่รากข้าวนั้นมีสารคำคัญอย่างหนึ่งมีชื่อว่าสาร "โอโรซารันส์ เอ บี ซี ดี " มีสรรพคุณที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ขาวจึงเป็นสมุนไพรที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้
กินข้าวเป็นยากันทั้งโลก แต่ในที่นี้เอาส่วนหนึ่งของต้นข้าวมาปรุงเป็นยาดีลดน้ำตาลในเลือดหรือเอามารักษาโรคเบาหวาน ส่วนที่ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดก็คือ รากของต้นข้าวนั้งเอง เอารากของต้นข้าวมาทำยาลดเบาหวาน ไม่ใช่ทานข้าวทุกวันเพื่อช่วยลดเบาหวาน คือการนำรากมาต้มเอาน้ำ มาดื่มกันเป็นยาดีที่รักษาโรคเบาหวาน ดื่ม ตอนเย็น หรทอดืมทุกวัน อาการของโรคเบาหวานก็จะหายวันหายคืน ทุเลาลงจนน่าพอใจ
ในการทดสอบสรรพคุณทางสมุนไพรนี้ปรากฎ ไฮคิโนเอช. กับคณะมีรายงานว่าที่รากข้าวนั้นมีสารคำคัญอย่างหนึ่งมีชื่อว่าสาร "โอโรซารันส์ เอ บี ซี ดี " มีสรรพคุณที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ขาวจึงเป็นสมุนไพรที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้
พริกชี้ฟ้า
พริกชี้ฟ้า เอามาทำเป็นโรคเบาหวานกันได้ด้วย มีการวิเคราะห์ วิจัย กันออกมาแล้วเป็นเรื่องเป็นราวทางวิทยาศาสตร์มีหลักฐาน โดยการนำสารของพริกชี้ฟ้ามาสกัดแล้วทดลองกับสัตว์
สารสกัดนั้นสามารถหยุดนั้งกลูโคสได้ เป็นการสลายกลูโคสให้กลายเป็นกรดแลคติคก็เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามพริกชี้ฟ้า ก็มีผลดีในการเอามาบริโภคกันมากถึงจะไม่มีสรรพคุณช่วยหยุดยั้งความหวานในร่างกายของมนุษย์เรา และพริกชี้ฟ้ายังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก โดยการใช้สารสกัดจากพริกชี้ฟ้า สารแคปไซซิน ( capsaicin) ในพริกชี้ฟ้าทำให้เจริญาอาหาร ช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น แก้หวัด ขับลม ช่วยสูบฉีดโลหิต ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ บำรุงธาตุ นำมาดองสุราหรือบดผสมวาสลิน ใช้ทาถูนวด ทาแก้เคล็ดขัดยอก แก้ปวดตามข้อฟกช้ำดำเขียว ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และยังมีวิตามินเอสูงซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ต้น ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
สารสกัดนั้นสามารถหยุดนั้งกลูโคสได้ เป็นการสลายกลูโคสให้กลายเป็นกรดแลคติคก็เป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามพริกชี้ฟ้า ก็มีผลดีในการเอามาบริโภคกันมากถึงจะไม่มีสรรพคุณช่วยหยุดยั้งความหวานในร่างกายของมนุษย์เรา และพริกชี้ฟ้ายังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก โดยการใช้สารสกัดจากพริกชี้ฟ้า สารแคปไซซิน ( capsaicin) ในพริกชี้ฟ้าทำให้เจริญาอาหาร ช่วยระบบย่อยอาหารให้ดีขึ้น แก้หวัด ขับลม ช่วยสูบฉีดโลหิต ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ บำรุงธาตุ นำมาดองสุราหรือบดผสมวาสลิน ใช้ทาถูนวด ทาแก้เคล็ดขัดยอก แก้ปวดตามข้อฟกช้ำดำเขียว ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และยังมีวิตามินเอสูงซึ่งเป็นสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระอันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ต้น ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
แมงลัก
แมงลัก เมื่อพูดถึงแมงลัก ทุกคนต้องนึกถึงเม็ดขาวใส่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลางแน่ๆ เมื่อทานน้ำแข็งใส่ก็มักจะเจอแมงลักเป็นเครื่องให้เลือกใส่อยู่ หรือบางท่านอาจนึกถึงใบแมงลัก ที่นำมาใส่อาหารจานโปรดของท่าน ให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แต่นอกจากนี้แล้ว แมงลักยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย คือ สรรพคุณทางยา
น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 1:50,000 มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ mycobacteria ซึ่งอยู่ภายนอกร่างกาย ใบสด สกัดด้วยอีเทอร์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดหนอง และเชื้อโรคที่ทำให้ท้องร่วง น้ำคั้นจากใบสด แก้หวัด หลอดลมอักเสบในเด็ก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อตามผิวหนังชั้นนอก จึงใช้ใบตำพอก และทาแก้โรคผิวหนังได้ แพทย์แผนโบราณใช้ใบแมงลักรักษากลากน้ำนมบนใบหน้าเด็ก โดยใช้ใบสด 10 ใบ ล้างให้สะอาด ตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นน้ำทาบริเวณที่เป็นกลากน้ำนม ซึ่งมักเป็นผื่นแดง โดยทาวันละครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก็หาย ทั้งต้น
ใช้ชับลม ขับเหงื่อ ต้มกับน้ำดื่มแก้ไอ และแก้โรคทางเดินอาหาร เมล็ด ใช้เป็นยาระบาย โดยไปเพิ่มปริมาณของกากอาหาร (bulk laxative) กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพราะเปลือกเมล็ดหรือผลมีสารเมือก (mucilage) เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เมือกจะไม่ถูกย่อย จึงช่วยเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นเมือกยังช่วยหล่อลื่นและทำให้อุจจาระอ่อนตัว ช่วยให้ถ่ายสะดวก ลดความอ้วน เมื่อรับประทานแล้ว สารเมือกจากเปลือกผล (mucilage) จะไม่ถูกย่อย และไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จึงใช้รับประทานก่อนอาหาร หรือรับประทานในมื้อที่ต้องการจะงดอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะว่าง โดยใช้เมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำแก้วใหญ่จนพองเต็มที่ รับประทานก่อนนอนเป็นยาระบาย หรือรับประทานแทนอาหารบางมื้อเป็นยาลดความอ้วน บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลผ่านผนังลำไส้หลังรับประทานอาหาร ช่วยให้ลำไส้ผู้ป่วยโรคเบาหวานดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสโลหิตช้าลง คือ ช่วยให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
น้ำมันหอมระเหยความเข้มข้น 1:50,000 มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ mycobacteria ซึ่งอยู่ภายนอกร่างกาย ใบสด สกัดด้วยอีเทอร์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่ทำให้เกิดหนอง และเชื้อโรคที่ทำให้ท้องร่วง น้ำคั้นจากใบสด แก้หวัด หลอดลมอักเสบในเด็ก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อตามผิวหนังชั้นนอก จึงใช้ใบตำพอก และทาแก้โรคผิวหนังได้ แพทย์แผนโบราณใช้ใบแมงลักรักษากลากน้ำนมบนใบหน้าเด็ก โดยใช้ใบสด 10 ใบ ล้างให้สะอาด ตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นน้ำทาบริเวณที่เป็นกลากน้ำนม ซึ่งมักเป็นผื่นแดง โดยทาวันละครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก็หาย ทั้งต้น
ใช้ชับลม ขับเหงื่อ ต้มกับน้ำดื่มแก้ไอ และแก้โรคทางเดินอาหาร เมล็ด ใช้เป็นยาระบาย โดยไปเพิ่มปริมาณของกากอาหาร (bulk laxative) กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพราะเปลือกเมล็ดหรือผลมีสารเมือก (mucilage) เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เมือกจะไม่ถูกย่อย จึงช่วยเพิ่มกากอาหาร นอกจากนั้นเมือกยังช่วยหล่อลื่นและทำให้อุจจาระอ่อนตัว ช่วยให้ถ่ายสะดวก ลดความอ้วน เมื่อรับประทานแล้ว สารเมือกจากเปลือกผล (mucilage) จะไม่ถูกย่อย และไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จึงใช้รับประทานก่อนอาหาร หรือรับประทานในมื้อที่ต้องการจะงดอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะว่าง โดยใช้เมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำแก้วใหญ่จนพองเต็มที่ รับประทานก่อนนอนเป็นยาระบาย หรือรับประทานแทนอาหารบางมื้อเป็นยาลดความอ้วน บรรเทาโรคเบาหวาน ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลผ่านผนังลำไส้หลังรับประทานอาหาร ช่วยให้ลำไส้ผู้ป่วยโรคเบาหวานดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสโลหิตช้าลง คือ ช่วยให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน